
นพ.วรตม์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูล จึงไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่โดยปกติเด็กที่ก่อความรุนแรงที่ผ่านมา มักมีปัญหาการเรียนอยู่เดิม หรือมีปัญหาความรุนแรงอยู่เดิม ซึ่งต้องดูประวัติว่านักเรียนคนดังกล่าวมีปัญหาอะไร เบื้องต้นไม่มีปัญหาการเรียน จึงต้องมาดูว่าอะไรนำมาสู่ความรุนแรงเช่นนี้ ซึ่งไม่เคยพบลักษณะนี้มาก่อน ถึงขั้นทำร้ายร่างกายครู อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นเราต้องซักประวัติทั้งเรื่องครอบครัว ความรุนแรงก่อนหน้านี้ว่าเป็นอย่างไร รวมถึงประวัติการรักษาต่างๆ ว่าเคยเข้าสู่กระบวนการรักษาอะไรด้วยหรือไม่

สำหรับข้อสังเกตหรือข้อแนะนำผู้ปกครองให้ระวังความรุนแรงของบุตรหลาน นพ.วรตม์ กล่าวว่า ความรุนแรงนี้ถือว่ารุนแรงมาก เพราะทำต่อหน้าคนมากมาย ขณะที่สาเหตุเบื้องต้นอาจดูไม่ได้กระตุ้นมากนัก แต่ความรุนแรงลักษณะนี้มักมีสัญญาณมาก่อน ไม่ว่าจะที่บ้าน หรือที่โรงเรียน ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุก่อนหน้านี้ได้มีการดำเนินการอะไรก่อนหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ เมื่อมีสัญญาณใดก็ตามที่บ่งชี้จะก่อความรุนแรง หรืออาจจะยังไม่รุนแรงมากนัก พ่อแม่ผู้ปกครองต้องสังเกต และให้ความสำคัญ หากสงสัยว่าลูกจะมีความรุนแรงต้องรีบพาไปประเมินอาการ เพื่อหาทางแก้ไข และช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

สำหรับวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรเพื่อไม่ให้ลูกเกิดความรุนแรง นพ.วรตม์ กล่าวว่า ต้องแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องไม่เป็นแบบอย่างของความรุนแรง หากที่บ้านมีความรุนแรง พ่อแม่ทะเลาะ ตีกัน ลูกเห็นก็อาจเสี่ยงมองว่าเป็นเรื่องปกติ และเลียนแบบพฤติกรรมได้ และต้องไม่ยอมรับความรุนแรงที่มีในบ้าน ไม่ใช่ว่าไม่เป็นแบบอย่างเท่านั้น แต่ต้องไม่ยอมรับด้วย เช่น ลูกก่อความรุนแรงใดๆ ทำลายข้าวของ ใช้คำหยาบคายมากๆ ต้องให้เขาเรียนรู้ว่า บ้านเราไม่ยอมรับความรุนแรง ซึ่งหากยังจัดการไม่ได้ ก็ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาต้นตอของความรุนแรงนั้นๆ